ตอนที่ 451 ตำหนักบุปผาบรรพชน
" ตำหนักบุปผาบรรพชน.." ฉิวหรงว่านเสวี่ยกลายเป็นตื่นตระหนกหลังจาได้ยินสิ่งที่หลี่ฉีเย่เอ่ย " นั้นเป็นไปไม่ได้ ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เคยอนุญาติให้คนนอกเข้า ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่กลุ่มความรู้สึกก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นแน่นอนว่าประตูย่อมไม่เปิดตอนรับคนนอก "
หลี่ฉีเย่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม " เป็นความจริงที่ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เปิดตอนรับคนนอก แต่ว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นเป็นใคร คนที่เหมาะสมยังไงก็เข้าไปได้ "
ฉิวหรงว่านเสวี่ยมองหลี่ฉีเย่อย่างเงียบๆ และติดตามเข้าไปยังตำหนักบุปผาบรรพชน
ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นเป็นเชื้อสายที่แข็งแกร่งที่สุดในสุสานใหญ่ มีข่าวลือมันคือผู้ปกครองของเมืองนี้ แต่นี้เป็นเพียงข่าวลือเพราะว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่เห็นกลุ่มความรู้สึกที่มีสายเลือดของที่นี่ นอกจากนี้ผู้นำตำหนักก็ยังไม่เคยแสดงตัวตนต่อโลก
มีข่าวลือว่าตั้งแต่เผ่าพันธ์ผีนั้นอยู่มาไม่มีใครเคยเห็นผู้นำตำหนักมาก่อน ไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอก ผู้นำตำหนักนั้นเป็นคนลึกลับและสันโดษอย่างมาก
ในสุสานใหญ่ สานเลือดและนิกายทั้งหมดพวกเขาล้วนเปิดรับคนนอก ตราบใดที่พวกเขาจ่ายปลาหยางราตรีเพียงพอ ทว่าตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ผู้คนเชื่อว่าตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในสุสานใหญ่และเป็นที่ที่สมบัติในตำนานฝังอยู่ รวมถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดในสุสานใหญ่ - ภูเขาสมบัติ
เพราะความเชื่อนี้ผู้ฝึกตนจำนวนมากจึงพยามเข้าไปยังตำหนักบุปผาบรรพชนด้วยวิธีการต่างๆมากมาย แต่ไม่ใครทำได้สำเร็จ
มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนมากที่ไม่กลัวความตายและใช้กำลังของพวกเขาบุกเข้าตำหนักบุปผาบรรพชน ผลลักธ์นั้นคาดเดาได้ง่าย พวกเขานั้นตายอย่างอนาภ ศพของพวกเขาถูกแขวนไว้หน้าประตูเพื่อเตือนให้คนอื่นรับรู้
ฉิวหรงว่านเสวี่ยเดินตามหลี่ฉีเย่ไปจนถึงหน้าทางเข้าตำหนักบุปผาบรรพชนนและเห็นศพจำนวนมากแขวนอยู่ บางคนเหลือแต่กระดูกเปลือย บางคนนั้นยังสมบูรณ์
แต่ละคนสามารถระบุได้จากเสื้อผ้าที่พวกเขาส่วมอยู่ ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นมองรอบๆและรู้ต้นกำเนิดของบางคนได้
" ประตูหยินหยาง , บึงไร้เขตแดน , นิกายพันแม่น้ำหวน , สายเลือดราชันแมลง , ภูเขาอาณาจักรอมตะ , บัลลังก์หมื่นกระดูก..." หัวใจของฉิวหรงว่านเสวี่ยสั่นสะท้านหลังจากเห็นตัวตนของพวกเขา
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสายเลือดที่ทรงพลังในโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขานั้นมีอำนาจที่จะควบคุมทั้งโลก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังมาตายที่นี่
เชื้อสายจักรพรรดิอย่างประตูหยินหยางและบึงไร้เขตแดนนั้นก็น่ากลัวพอแล้ว แต่กระทั้งภูเขาอาณาจักรอกมตะก็ยังมีนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนอย่างมาก เผ่าเล็กๆอย่างเผ่าเงาหิมะล้วนไม่ต่างจากหมดหากเผชิญหน้ากับพวกเขา
หากเปรียบเหล่าเชื้อสายจักรพรรดินั้นเป็นช้าง เช่นนั้นเผ่าเงาหิมะก็เป็นเพียงแค่แมลง
สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือศพของผู้เชียวชาญบัลลังก์หมื่นกระดูกก็ยังอยู่ทีนี่ นี้เป็นนิกายที่มีสามจักรพรรดิอมตะและอยู่จุดสูงสุดของโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคนในโลกนี้กล้าต่อต้านตัวตนเช่นพวกเขา
แต่ตอนนี้ศพสมาชิกของพวกเขาแขวนอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการเตือนคนทั้งโลก
การกระทำดังกล่าวนั้นโหดร้ายมากเกินไป นี้เป็นการตบหน้าของบัลลังก์หมื่นกระดูก ไม่มีเชื้อสายใดในโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์กล้าทำสิ่งนี้
ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เกรงกลัวแต่เชื้อสายจักพรรรดิใดๆ ไม่ว่าพวกเขาจะมีตัวตนแบบใด หากกล้าก้าวเข้ามาในตำหนักแม้เพียงครึ่งก้าว ชะตากรรมของพวกเขาก็จะมีเช่นเดียวกับคนที่ถูกแขวนอยู่
ผีท้องถิ่นนั้นขว้างเส้นทางของพวกเข้าไว้ ผีตัวนี้นั้นเป็นหมอกราวกับมันไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ
จากนั้นมันก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ " ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เปิดตอนรับคน ถอยเท้าของเจ้ากลับไป " เทียบกับตำหนักบุปผาบรรพชนแล้วผีตัวอื่นๆในสุสานใหญ่ดูเป็นมิตรกว่ามาก พวกเขานั้นดูเหมือนมนุษย์มากกว่าผีของตำหนักที่เป็นร่างจริง
" ไปแจ้งเจ้าตำหนักว่าข้าต้องการจะพบ หรือบอกเขาให้ออกมาพบข้า " หลี่ฉีเย่เอ่ยอย่างใจเย็น
ผีตัวนั้นยังคงปิดเส้นทางและเอ่ยเสียงเรียบ " เจ้าตำหนักของพวกเราไม่ต้องการพบคนนอก กลับไปซะ "
หลี่ฉีเย่หยิบชิ้นส่วนของกระดาษออกมาจากนั้นเขาก็ใช้วิธีการที่แปลกประหลาดและพับมันเป็นหมวก จากนั้นเขาก็วางหมวกบนหัวของผีตนนั้นและเอ่ย " นำหมวกนี้ไปให้เจ้าตำหนัก และบอกเขาว่าข้ามาถึงแล้ว "
ผีตนนั้นมองมายังหลี่ฉีเย่ด้วยสายตาไร้ชีวิตชีวา สุดท้ายมันก็หันกลับเข้าไปภายใน มันไม่ได้กลับมาหลังจากที่ผ่านไปนาน
" เจ้าตำหนักบุปผาบรรพชนจะมาพบพวกเราหรือไม่ ? " ฉิวหรงว่านเสวี่ยเอ่ยถามอย่างกังวล
เทียบกับความกังวลของนาง หลี่ฉีเย่ยังแสดงออกอย่างไม่แยแสและอมยิ้มเอ่ย " อย่าได้กังวล เขาจะออกมาพบพวกเรา "
แน่นอนเมื่อผีตัวนั้นไปแจ้งเจ้าตำหนักเมื่อผีตัวนั้นไปแจ้งเจ้าตำหนัก เมื่อมันกลับมาหมวกของมันได้หายไปและเอ่ย " เจ้าตำหนักตอนรับเจ้า " มันก็ยังกล่าวอย่างไรอารมณ์
ด้วยการนำทางของมัน หลี่ฉีเย่ติดตามไปในลักษณะที่ผ่อนคลายขณะที่ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความวิตก
เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาภายในตำหนักบุปผาบรรพชน ฉิวหรงว่านเสวี่ยแทบไม่เชื่อสายตา นางนั้นไม่คิดว่าจะได้เห็นฉากนีัภายในสุสานใหญ่ ด้านหน้าของนางนั้นเป็นทัศนียภาพที่งดงามมันมีทั้งภูเขาและแม่น้ำที่งดงามทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังงานโลก นี้ราวกับเป็นดินแดนบรรพบุรุษของเชื้อสายจักรพรรดิ สถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ยาจำนวนมาก มีสมบัติจำนวนมากอยู่รอบๆ อาจจะกล่าวได้ว่าดินแดนของเชื้อสายจักรพรรดิก็ไม่สามารถเทียบที่นีไ่ด้
ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนขณะจ้องมองทั้งหมดนี้ นางไม่คาดฝันว่าจะมีสถานที่แห่งนี้อยู่ในสุสานใหญ่ นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกตน สถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกตนต่างปราถนา
เทียบกับฉิวหรงว่านเสวี่ยที่ชื่นชมกับทิวทัศน์รอบด้าน หลี่ฉีเย่เพียงยิ้มและมองผ่านพวกมัน
ผีนั้นนำทั้งสองไปยังบนเส้นทางที่แปลก แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อพวกเขาเดินมาเป็นเวลานานพวกเขาก็ยังไม่พบคนแม้แต่คนเดียว กล่าวให้ถูกแม้แต่ผีก็ไม่พบ
ทิวทัศน์แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงบและไม่มีคนรบกวน บรรยากาศที่เงียบสงบนี้ยามขาดผู้ก็ทำให้รู้สึกขนลุก
ฉิวหรงว่านเสวี่ยรู้สึกขนลุกเมื่อพบเจอกับบรรยากาศแบบนี้ ความเงียบสงบอย่างมากของมันทำให้ทุกคนหวาดกลัว
" ทำไมถึงไม่มีใครอยู่ที่นี่ ? " ฉิวหรงว่านเสวี่ยกระซิบกับหลี่ฉีเย่
" เพราะว่าพวกเขาทุกคนหลับกันหมด " หลี่ฉีเย่มองไปยังหญิงสาวด้านข้างและเอ่ย " นอกจากจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาไม่มีทางตื่นขึ้นมา "
ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ สุสานใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผีมองด้านนอกพวกเขานั้นแทบไม่ต่างจากคน ผีในสุสานใหญ่นั้นไม่เคยหลับ แต่ตำหนักบุปผาบรรพชนกับมีคนจำศีล - นี้มันแปลกประหลาดเกินไป
แน่นอน ความเงียบสงบนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่าไม่ได้อยู่ในสุสานใหญ่ ฉิวหรงว่านเสวี่ยถึงกับเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเชื้อสายจักรพรรดิ
ในที่สุดผีก็นำทั้งสองมาถึงวิหารเก่าแก่ วิหารนี้นั้นมีขนาดใหญ่อย่างมาก เพียงมองผ่านๆอาจจะคิดว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนของเทพ
หลังจากนำทั้งสองมา ผีนั้นก็จากไปอย่างเงียบๆ
นี้เป็นวิหารที่ว่างเปล่า ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นไม่เห็นแม้แต่มนุษย์หรือผี จากนั้นนางก็มองไปยังสถานที่สูงสุดในวิหาร มันมีเก้าอี้หินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เก้าอี้นี้ถูกแกะสลักจากหินที่ไม่รู้จักและมันผสานกับบรรพยากาศโดยรอบอย่างลงตัว
มีรูปปั้นสวมมงกุฏศักดิ์สิทธิ์อยู่บนหัวและหอยพู่กันเอาไว้ด้านข้าง เขานั้นสวมผ้าคลุมปิดหน้าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
รูปปั้นนั้นสวมผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอำนาจ ราวกับว่ามันจะครอบคลุมทั้งโลกได้ คนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในรูปปั้นให้บรรยากาศลึกลับอย่างมาก
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางมากที่สุดตอนนี้ก็คือหมวกที่รูปปั้นนั้นถืออยู่ มันเป็นหมวกที่หลี่ฉีเย่พับก่อนหน้า
" เจ้ายังคงไม่เปลี่ยนไปเลย " หลี่ฉีเย่มองไปยังรูปปั้นที่นั่งบนเก้าอี้หินและกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมด้วยประกายตาที่สดใส...
" ตำหนักบุปผาบรรพชน.." ฉิวหรงว่านเสวี่ยกลายเป็นตื่นตระหนกหลังจาได้ยินสิ่งที่หลี่ฉีเย่เอ่ย " นั้นเป็นไปไม่ได้ ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เคยอนุญาติให้คนนอกเข้า ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่กลุ่มความรู้สึกก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นแน่นอนว่าประตูย่อมไม่เปิดตอนรับคนนอก "
หลี่ฉีเย่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม " เป็นความจริงที่ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เปิดตอนรับคนนอก แต่ว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นเป็นใคร คนที่เหมาะสมยังไงก็เข้าไปได้ "
ฉิวหรงว่านเสวี่ยมองหลี่ฉีเย่อย่างเงียบๆ และติดตามเข้าไปยังตำหนักบุปผาบรรพชน
ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นเป็นเชื้อสายที่แข็งแกร่งที่สุดในสุสานใหญ่ มีข่าวลือมันคือผู้ปกครองของเมืองนี้ แต่นี้เป็นเพียงข่าวลือเพราะว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่เห็นกลุ่มความรู้สึกที่มีสายเลือดของที่นี่ นอกจากนี้ผู้นำตำหนักก็ยังไม่เคยแสดงตัวตนต่อโลก
มีข่าวลือว่าตั้งแต่เผ่าพันธ์ผีนั้นอยู่มาไม่มีใครเคยเห็นผู้นำตำหนักมาก่อน ไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอก ผู้นำตำหนักนั้นเป็นคนลึกลับและสันโดษอย่างมาก
ในสุสานใหญ่ สานเลือดและนิกายทั้งหมดพวกเขาล้วนเปิดรับคนนอก ตราบใดที่พวกเขาจ่ายปลาหยางราตรีเพียงพอ ทว่าตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ผู้คนเชื่อว่าตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในสุสานใหญ่และเป็นที่ที่สมบัติในตำนานฝังอยู่ รวมถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดในสุสานใหญ่ - ภูเขาสมบัติ
เพราะความเชื่อนี้ผู้ฝึกตนจำนวนมากจึงพยามเข้าไปยังตำหนักบุปผาบรรพชนด้วยวิธีการต่างๆมากมาย แต่ไม่ใครทำได้สำเร็จ
มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนมากที่ไม่กลัวความตายและใช้กำลังของพวกเขาบุกเข้าตำหนักบุปผาบรรพชน ผลลักธ์นั้นคาดเดาได้ง่าย พวกเขานั้นตายอย่างอนาภ ศพของพวกเขาถูกแขวนไว้หน้าประตูเพื่อเตือนให้คนอื่นรับรู้
ฉิวหรงว่านเสวี่ยเดินตามหลี่ฉีเย่ไปจนถึงหน้าทางเข้าตำหนักบุปผาบรรพชนนและเห็นศพจำนวนมากแขวนอยู่ บางคนเหลือแต่กระดูกเปลือย บางคนนั้นยังสมบูรณ์
แต่ละคนสามารถระบุได้จากเสื้อผ้าที่พวกเขาส่วมอยู่ ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นมองรอบๆและรู้ต้นกำเนิดของบางคนได้
" ประตูหยินหยาง , บึงไร้เขตแดน , นิกายพันแม่น้ำหวน , สายเลือดราชันแมลง , ภูเขาอาณาจักรอมตะ , บัลลังก์หมื่นกระดูก..." หัวใจของฉิวหรงว่านเสวี่ยสั่นสะท้านหลังจากเห็นตัวตนของพวกเขา
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสายเลือดที่ทรงพลังในโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขานั้นมีอำนาจที่จะควบคุมทั้งโลก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังมาตายที่นี่
เชื้อสายจักรพรรดิอย่างประตูหยินหยางและบึงไร้เขตแดนนั้นก็น่ากลัวพอแล้ว แต่กระทั้งภูเขาอาณาจักรอกมตะก็ยังมีนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนอย่างมาก เผ่าเล็กๆอย่างเผ่าเงาหิมะล้วนไม่ต่างจากหมดหากเผชิญหน้ากับพวกเขา
หากเปรียบเหล่าเชื้อสายจักรพรรดินั้นเป็นช้าง เช่นนั้นเผ่าเงาหิมะก็เป็นเพียงแค่แมลง
สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือศพของผู้เชียวชาญบัลลังก์หมื่นกระดูกก็ยังอยู่ทีนี่ นี้เป็นนิกายที่มีสามจักรพรรดิอมตะและอยู่จุดสูงสุดของโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคนในโลกนี้กล้าต่อต้านตัวตนเช่นพวกเขา
แต่ตอนนี้ศพสมาชิกของพวกเขาแขวนอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการเตือนคนทั้งโลก
การกระทำดังกล่าวนั้นโหดร้ายมากเกินไป นี้เป็นการตบหน้าของบัลลังก์หมื่นกระดูก ไม่มีเชื้อสายใดในโลกใต้พิภพศักดิ์สิทธิ์กล้าทำสิ่งนี้
ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เกรงกลัวแต่เชื้อสายจักพรรรดิใดๆ ไม่ว่าพวกเขาจะมีตัวตนแบบใด หากกล้าก้าวเข้ามาในตำหนักแม้เพียงครึ่งก้าว ชะตากรรมของพวกเขาก็จะมีเช่นเดียวกับคนที่ถูกแขวนอยู่
ผีท้องถิ่นนั้นขว้างเส้นทางของพวกเข้าไว้ ผีตัวนี้นั้นเป็นหมอกราวกับมันไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ
จากนั้นมันก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ " ตำหนักบุปผาบรรพชนนั้นไม่เปิดตอนรับคน ถอยเท้าของเจ้ากลับไป " เทียบกับตำหนักบุปผาบรรพชนแล้วผีตัวอื่นๆในสุสานใหญ่ดูเป็นมิตรกว่ามาก พวกเขานั้นดูเหมือนมนุษย์มากกว่าผีของตำหนักที่เป็นร่างจริง
" ไปแจ้งเจ้าตำหนักว่าข้าต้องการจะพบ หรือบอกเขาให้ออกมาพบข้า " หลี่ฉีเย่เอ่ยอย่างใจเย็น
ผีตัวนั้นยังคงปิดเส้นทางและเอ่ยเสียงเรียบ " เจ้าตำหนักของพวกเราไม่ต้องการพบคนนอก กลับไปซะ "
หลี่ฉีเย่หยิบชิ้นส่วนของกระดาษออกมาจากนั้นเขาก็ใช้วิธีการที่แปลกประหลาดและพับมันเป็นหมวก จากนั้นเขาก็วางหมวกบนหัวของผีตนนั้นและเอ่ย " นำหมวกนี้ไปให้เจ้าตำหนัก และบอกเขาว่าข้ามาถึงแล้ว "
ผีตนนั้นมองมายังหลี่ฉีเย่ด้วยสายตาไร้ชีวิตชีวา สุดท้ายมันก็หันกลับเข้าไปภายใน มันไม่ได้กลับมาหลังจากที่ผ่านไปนาน
" เจ้าตำหนักบุปผาบรรพชนจะมาพบพวกเราหรือไม่ ? " ฉิวหรงว่านเสวี่ยเอ่ยถามอย่างกังวล
เทียบกับความกังวลของนาง หลี่ฉีเย่ยังแสดงออกอย่างไม่แยแสและอมยิ้มเอ่ย " อย่าได้กังวล เขาจะออกมาพบพวกเรา "
แน่นอนเมื่อผีตัวนั้นไปแจ้งเจ้าตำหนักเมื่อผีตัวนั้นไปแจ้งเจ้าตำหนัก เมื่อมันกลับมาหมวกของมันได้หายไปและเอ่ย " เจ้าตำหนักตอนรับเจ้า " มันก็ยังกล่าวอย่างไรอารมณ์
ด้วยการนำทางของมัน หลี่ฉีเย่ติดตามไปในลักษณะที่ผ่อนคลายขณะที่ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความวิตก
เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาภายในตำหนักบุปผาบรรพชน ฉิวหรงว่านเสวี่ยแทบไม่เชื่อสายตา นางนั้นไม่คิดว่าจะได้เห็นฉากนีัภายในสุสานใหญ่ ด้านหน้าของนางนั้นเป็นทัศนียภาพที่งดงามมันมีทั้งภูเขาและแม่น้ำที่งดงามทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังงานโลก นี้ราวกับเป็นดินแดนบรรพบุรุษของเชื้อสายจักรพรรดิ สถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ยาจำนวนมาก มีสมบัติจำนวนมากอยู่รอบๆ อาจจะกล่าวได้ว่าดินแดนของเชื้อสายจักรพรรดิก็ไม่สามารถเทียบที่นีไ่ด้
ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนขณะจ้องมองทั้งหมดนี้ นางไม่คาดฝันว่าจะมีสถานที่แห่งนี้อยู่ในสุสานใหญ่ นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกตน สถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกตนต่างปราถนา
เทียบกับฉิวหรงว่านเสวี่ยที่ชื่นชมกับทิวทัศน์รอบด้าน หลี่ฉีเย่เพียงยิ้มและมองผ่านพวกมัน
ผีนั้นนำทั้งสองไปยังบนเส้นทางที่แปลก แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อพวกเขาเดินมาเป็นเวลานานพวกเขาก็ยังไม่พบคนแม้แต่คนเดียว กล่าวให้ถูกแม้แต่ผีก็ไม่พบ
ทิวทัศน์แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงบและไม่มีคนรบกวน บรรยากาศที่เงียบสงบนี้ยามขาดผู้ก็ทำให้รู้สึกขนลุก
ฉิวหรงว่านเสวี่ยรู้สึกขนลุกเมื่อพบเจอกับบรรยากาศแบบนี้ ความเงียบสงบอย่างมากของมันทำให้ทุกคนหวาดกลัว
" ทำไมถึงไม่มีใครอยู่ที่นี่ ? " ฉิวหรงว่านเสวี่ยกระซิบกับหลี่ฉีเย่
" เพราะว่าพวกเขาทุกคนหลับกันหมด " หลี่ฉีเย่มองไปยังหญิงสาวด้านข้างและเอ่ย " นอกจากจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาไม่มีทางตื่นขึ้นมา "
ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ สุสานใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผีมองด้านนอกพวกเขานั้นแทบไม่ต่างจากคน ผีในสุสานใหญ่นั้นไม่เคยหลับ แต่ตำหนักบุปผาบรรพชนกับมีคนจำศีล - นี้มันแปลกประหลาดเกินไป
แน่นอน ความเงียบสงบนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่าไม่ได้อยู่ในสุสานใหญ่ ฉิวหรงว่านเสวี่ยถึงกับเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเชื้อสายจักรพรรดิ
ในที่สุดผีก็นำทั้งสองมาถึงวิหารเก่าแก่ วิหารนี้นั้นมีขนาดใหญ่อย่างมาก เพียงมองผ่านๆอาจจะคิดว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนของเทพ
หลังจากนำทั้งสองมา ผีนั้นก็จากไปอย่างเงียบๆ
นี้เป็นวิหารที่ว่างเปล่า ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นไม่เห็นแม้แต่มนุษย์หรือผี จากนั้นนางก็มองไปยังสถานที่สูงสุดในวิหาร มันมีเก้าอี้หินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เก้าอี้นี้ถูกแกะสลักจากหินที่ไม่รู้จักและมันผสานกับบรรพยากาศโดยรอบอย่างลงตัว
มีรูปปั้นสวมมงกุฏศักดิ์สิทธิ์อยู่บนหัวและหอยพู่กันเอาไว้ด้านข้าง เขานั้นสวมผ้าคลุมปิดหน้าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
รูปปั้นนั้นสวมผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอำนาจ ราวกับว่ามันจะครอบคลุมทั้งโลกได้ คนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในรูปปั้นให้บรรยากาศลึกลับอย่างมาก
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางมากที่สุดตอนนี้ก็คือหมวกที่รูปปั้นนั้นถืออยู่ มันเป็นหมวกที่หลี่ฉีเย่พับก่อนหน้า
" เจ้ายังคงไม่เปลี่ยนไปเลย " หลี่ฉีเย่มองไปยังรูปปั้นที่นั่งบนเก้าอี้หินและกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมด้วยประกายตาที่สดใส...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น