ตอนที่ 476 ภูติปีศาจฉินกวงหว่า
หลังจากถูกปกคลุมไปด้วยแสงอมตะ ฉิวหรงว่านเสวี่ยก็ถอนหายใจโล่งอกและไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตราย

ภูติปีศาจนั้นคำรามอย่างบ้าคลั่งและปลดปล่อยอักษรโบราณตำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปที่ม่านป้องกันของประตู เกิดเป็นหลุมขนาดเล็กอยู่บนม่านป้องกัน

ภายในเสี้ยววินาที ภูติปีศาจใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพุ่งไปยังประตูเพื่อที่จะเข้าวิหารโบราณ

ทว่า..." ตูม ! " เสียงระเบิดที่ราวกับจะทลายชั้นฟ้าและแผ่นดินดังออกมา ขณะที่ภูติปีศาจพยามจะแทรกซึมเข้าไปยังช่องว่างเล็กๆนี้ ก็มีกำแพงขว้างเส้นทางของเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ในรูปแบบของ ' เทพสงคราม ' เขาก็ยังปลิวออกไปด้วยอำนาจของกำแพง กลิ่นอายอมตะของเขาไม่สามารถหยุดหรือลดทอนอำนาของกำแพงได้

มันเป็นฉากที่น่าแปลกประหลาดที่เห็นภูติปีศาจปลิวออกไปขณะที่หนวนสีข่าวของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง เขานั้นตกลงมายังพื้นดินอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมาได้

เขานั่งลงบนพื้นดินด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ดวงตาของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่มีประกายของการต้องการจะต่อสู้

" เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ " หลี่ฉีเย่ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะส่ายหัวและเอ่ย " ทุกคนบนโลกล้วนไร้อำนาจเมื่อเผชิญกับพลังนี้ พวกเขาทำได้เพียงพึงพากำลังของตัวเองเท่านั้นในการท้าท้ายกับอำนาจสวรรค์ หากสามารถใช้อย่างอื่นช่วยได้ ใช้นั้นมันคงถูกเปิดไปนานแล้ว "

ฉิวหรงว่านเสวี่ยนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่หลี่ฉีเย่พูด และนางยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

ภูติปีศาจนั้นถูกแช่แข็งก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเอ่ย " ข้าได้เตรียมตัวมาเป็นเวลานานมากสำหรับเรื่องนี้ "

" นั้นมันไร้ความหมาย " หลี่ฉีเย่ส่ายหัวและเอ่ยอย่างราบเรียบ " หากมันสามารถทำเช่นนั้่นได้ เจ้าตำหนักบุปผาบรรพชนจะรออะไร ? หากคนนอกสามารถช่วยได้ เช่นนั้นเขาคงมาจัดกการกับมันไปแล้ว "

" เจ้าเป็นใครกัน ? " ภูติปีศาจนั้นจ้องมองหลี่ฉีเย่และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก สายตาของเขานั้นกลายจริงจัง นี้เป็นสายตาที่สดใสราวกับดวงดารา ด้วยการจ้องมองนี้ผู้คนทำได้เพียงสั่นเทา

หลี่ฉีเย่ไม่แยแสกับการจ้องมองนี้ก่อนจะเอ่ย " ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ ทว่าข้าจะให้โอกาสเจ้า บางทีเจ้าอาจจะพบนิพพาน..."

ภูติปีศาจนั้นกลายเป็นตกตะลึงก่อนจะส่ายหัวและเอ่ย " นิพพาน ? ข้าควรจะรับรู้มันตั้งแต่อดีต แต่...แต่ว่า.." ภูติปีศาจถอนหายใจ

หลี่ฉีเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม " ตำนานโบราณนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและสิ่งที่ซับซ้อนเสมอ ปีนั้นแม้ว่าเจ้าจะพยามอย่างดีที่สุด มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ "

ภูติปีศาจนั้นเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นและไร้ความหวัง หนึ่งรอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยอารมณ์จำนวนมาก

หลี่ฉีเย่ปลอบ " ข้าได้ยินว่าเจ้าใช้เลือดของตัวเองเพื่อทำพิธีบูชายันญในปีนั้น เจ้าพยามได้ดีที่สุดแล้ว "

ภูติปีศาจนั้นหัวเราะขมขื่น ภายไปนาน เขาก็เอ่ย " ไม่ มันยังดีไม่พอ "

" ไม่จำเป็นจะต้องสิ้นหวัง มันยังมีโอกาส ตัวอย่างเช่น...ข้านี้่ไง ! " หลี่ฉีเย่มองไปยังเขาก่อนจะเอ่ยพร้อมกับถูจมูกตัวเอง " หากเจ้าเต็มใจที่จะช่วยเหลือข้า เช่นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงนิพพานหรือการไร้ความหวัง พวกเรายังมีโอกาส "

" มันเป็นโอกาสแบบใด ? " ภูติปีศาจเอ่ยถาม

หลี่ฉีเย่ชี้ไปยังท้องฟ้าและประกาศ " ข้าต้องการจะประกาศสงคราม , ข้าต้องการจะฉีกชั้นฟ้า , ข้าก็ต้องการจะก่นด่าสถานที่อันบัดซบ , ข้าต้องการจะถอนโขนพวกตัวตนอมตะงี่เง่า , ข้าต้องการที่จะปัดเป่าหมอกที่ปกคลุมทุกสิ่ง ! "

" ประกาศสงคราม ? ฮ่าฮ่า..ฮ่า..." ภูติปีศาจนั้นระเบิดเสียงหัวเราะราวกับว่าเขานั้นได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก

" เพียงแค่เจ้า ? ฮ่าฮ่าฮ่า..." ภูติปีศาจพยามจะยืนขึ้นและระเบิดเสียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลี่ฉีเย่และไม่สามารถยืนตรงได้

" มันดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เชื่อข้า " หลี่ฉีเย่ไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะของเขาและเอ่ยอย่างสบายๆ

ภูติปีศาจพยามจะหยุดหัวเราะก่อนจะส่ายหัวและเอ่ย " ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า เพยีงแต่ว่าการจะฉีกชั้นฟ้า...แม้แต่จักรพรรดิอมตะก็ยังไม่สามารถทำได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้า "

หลี่ฉีเย่เอ่ยตอบ " มันไม่สำคัญว่าจักรพรรดิอมตะจะทำได้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีความกล้าพอที่จะต่อสู้หรือไม่ อย่าลืมสิ่งนี้ในอดีตจักรพรรดิอมตะเฟยพยางสู้ไปจนถึงจุดที่สวรรค์พังทลาย ในขณะที่เหล่าปีศาจและเทพได้แต่กรีดร้อง สุดท้ายเขาก็กำราบสถานที่นั้นอย่างสมบูรณ์ "

" แม้แต่จักรพรดริอมตะเฟยหยางก็ไม่สามารถที่จะฉีกชั้นฟ้าได้ " ภูติปีศาจส่ายหัวและเอ่ย " แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นั้นเป็นเวลานาน เขาก็ยังไม่สามารถฉีกมันออกจากกันได้ราวกับเป็นสถานที่ที่ถูกสาป ! "

" และเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเผ่าพันธ์ผี มันเป็นการท้าทายจักรพรรดิอมตะเฟยหยาง การปราบปรามสถานที่แห่งนี้เพียงหนึ่งยุคก็พอแล้ว "

" แล้วเจ้าละ ? " ภูติปีศาจมองไปยังหลี่ฉีเย่และเอ่ย " เจ้านั้นเป็นมนุษย์ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรให้เจ้าทำได้ "

หลี่ฉีเย่นั้นหรี่ดวงตาของเขาและยิ้มหลังจากเงียบเป็นเวลานาน " ไม่สำคัญ ข้าอาจจะเป็นมนุษย์ แต่มันมีบางอย่างที่ข้าต้องทำให้ชัดเจน "

" ความกล้าหาญของเจ้านั้นน่ายกย่อง แต่เจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้ " ภูติปีศาจส่ายหัวและเอ่ย

" งั้นรึ ? " หลี่ฉีเย่เพียงอมยิ้มเอ่ย " ข้าไม่คิดเช่นนั้น แม้ว่าการบ่มเพาะของข้าตอนนี้จะห่างไกลจากจักรพรรดิอมตะ แต่วิธีการของข้านั้นไม่อ่อนแอกว่าใคร สิ่งที่สำคัญข้ามีสิ่งของที่แม้แต่จักรพรรดิอมตะยังไม่มี ตัวอย่างเช่น...สิ่งนี้ ! "

หลี่ฉีเย่หยิบตอไม้ที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือออกมาจากประตูพรสวรรค์ มันเป็นตอไม้ที่ตายแล้วแต่ยังมีใบอ่อนสีเขียวขึ้น - เต็มไปด้วยอำนาจแห่งชีวิตไร้ที่สิ้นสุด

ภูติปีศาจนั้นถอยไปหลายก้าวราวกับเขากำลังเห็นผีและอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ " ไม่..ไม่มีทาง ! "

ภูติปีศาจนั้นสูญเสียคำพูดก่อนจะชี้ไปที่หลี่ฉีเย่และเอ่ยด้วยความตกตะตึง " ได้ยังไง...เจ้าไปเอาของสิ่งนี้มาได้ยังไงกัน ? "

หลี่ฉีเย่ยิ้มก่อนจะเก็บมันกลับไปและเอ่ย " มันไม่สำคัญว่าข้าได้รับมันมาอย่างไร ที่สำคัญคือเจ้าสนใจหรือไม่ "

ภูติปีศาจนั้นเต็มไปด้วยความมึนงงและไม่สามารถเอ่ยได้เป็นเวลานาน

หลี่ฉีเย่ยิ้มและเอ่ยต่อ " ข้าเข้าใจ นี้เป็นเส้นทางสู่ความตาย เจ้าสามารถคิดมันและให้คำตอบข้าภายหน้าได้ แน่นอนว่าอย่าให้ข้ารอนานเกินไปนัก "

ภูติปีศาจนั้นมองไปยังหลี่ฉีเย่ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยถาม " เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร ? "

หลี่ฉีเย่เอ่ย " ข้าต้องการใครสักคนเปิดเส้นทางให้ข้า ด้วยการเป็นทัพหน้าของเจ้า ข้าสามารถทำมันสำเร็จได้ "

" เพียงแค่ข้า ? " ภูติปีศาจส่ายหัวของเขาและเอ่ย " ข้าคนเดียวคงไม่สามารถทำได้ มันไม่ใช่เพราะว่าข้านั้นกลัวตาย ความตายนั้นคือปลายทางสำหรับข้า ทว่าด้วยเพียงการช่วยเหลือของข้า มันก็ยังไร้ความหวังและไม่สามารถโจมตีสถานที่นั้นได้ สถานที่ถูกสาปนั้นทรงพลังมากและมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลุมฝังศพต้องห้าม ! "

หลี่ฉีเย่ยิ้มและเอ่ย " ข้าเข้าใจดังนั้นข้าจึงมีทางออกไว้แล้ว เจ้าทำเพียงแค่เปิดทางและจัดการกับบางอย่าง สำหรับการต่อสู้สุดท้ายปล่อยมันให้ข้า ข้าจะฉีกสถานที่นั้นออกเป็นชิ้นๆเอง ! "

เห็นภูติปีศาจที่ตกตะลึง หลี่ฉีเย่เอ่ยเพิ่ม " แน่นอนว่าเจ้าต้องเตรียมใจไว้เมื่อพวกเราเดินบนเส้นทางนั้น ข้าไม่สามารถรับประกันว่าเจ้าจะมีชีวิตกลับมาได้ เจ้าควรจะรู้ว่าการออกไปจากสุสานใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย "

" รอดชีวิต ? หากพวกเราไปที่นั้น ข้าไม่ได้วางแผนที่จะกลับมาแบบมีชีวิต " ภูติปีศาจถอนหายใจ " ช้าไม่ใช่คนหรือผี การมีชีวิตยืนยาวนั้นไร้ความหมาย หากนายเหนือหัวนั้นไม่ได้ให้สุดยอดพรแก่ข้า เช่นนั้นข้าก้ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่หลังจากใช้เลือดบูชายัญในสุสานใหญ่เมื่อครั้งอดีต "

หลี่ฉีเย่พยักหน้าและเอ่ย " ดีมาก เจ้ามาเป็นทัพหน้าให้กับข้า มันจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก "

ภูติปีศาจนั้นมองหลี่ฉีเย่และพยักหน้าเห้นด้วย " ดี ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ นามของข้าคือฉินกวงหว่า ข้าไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาเป็นเวลานานแล้ว "

" ข้ารู้ " หลี่ฉีเย่หัวเราะและเอ่ย " เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อข้ามาก่อน ข้าชื่อหลี่ฉีเย่ "

ฉินกวงหว่าพึมพำชื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเขาก็มองหลี่ฉีเย่และเอ่ย " ข้าดุเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน "

หลี่ฉีเย่ยิ้มและมองไปยังวิหารโบราณ " เช่นนั้น ข้าจะเริ่มเลยแล้วกัน "

" เจ้าต้องการจะทำอะไร ? " ฉินกวงหว่าถามด้วยความงุนงง

หลี่ฉีเย่เอ่ยตอบ " ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้ทำอะไรบ้าๆ ข้ามาที่นี่เพื่อจะหาบางสิ่ง นอกจากนี้ยังมายืมของบางรายการ "

" ยืมของ ? " ฉินกวงหว่านั้นสับสน เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลี่ฉีเย่จากนั้นก็มองกลับไปยังวิหารโบราณ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

หลี่ฉีเย่ก้าวยังวิหารโบราณ ฉิวหรงว่านเสวี่ยติดตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว นางนั้นไม่เข้าใจว่าทั้งสองเอ่ยสิ่งใดกัน แต่นางก็ไม่เอ่ยถาม หากหลี่ฉีเย่ต้องการบอกเขาก้จะเอ่ยบอกนางเอง

หลี่ฉีเย่มายืนอยู่หน้าประตูและหยิบกล่องที่เต็มไปด้วยผนึกจำนวนมากออกมา เขานั้นยกกล่องขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม

" ของชิ้นนี้มัน..." ฉินกวงหว่ากตกตะลึง เขาชดเจนว่าของสิ่งนี้คืออะไร

" ข้าเพียงยืมมา " หลี่ฉีเย่ยิ้มก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากนั้นเขาก็ปิดตาของเขาก่อนจะเปิดประตูพรสวรรค์และตอไม้มาปรากฏอยู่ในมือ

หลี่ฉีเย่ราวกับกำลังอธิษฐาน " ข้าจะประกาศสงครามเพื่อต่อต้านสวรรค์และฉีกม่านหมอก ข้าจะสู้เพื่อแก้ไขความลึกลับทุกอย่างดังนั้นข้าต้องการของบางอย่าง วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะแสดงความเคารพและหวังว่าเจ้าจะให้ข้ายืมมัน ข้าได้ยินว่าเกราะรบในตำนานอยู่ที่นี่ วันนี้ข้ามาเพื่อจะยืมมัน และนำมันกลับมาคืนเมื่อข้าได้รับชัยชนะ ! "

หลังจากเอ่ยเสร็จ หลี่ฉีเย่ก็ค่อยๆเปิดกล่องออก มีประกายแสงหายเข้าไปในวิหารโบรารก่อนเขาจะปิดกล่อง

ขณะเดียวกัน ใบสีเขียวของตอไม้ก็ค่อยปดลปล่อยคลื่นแห่งชีวิตและไหลเข้าสู่ร่างกายของหลี่ฉีเย่ มอบพลังแห่งชีวิตไร้ที่สิ้นสุด

ฉิวหรงว่านเสวี่ยและฉินกวงหว่าทั้งสองสูดลมหายใจเข้าลึกและจ้องไปยังท้องฟ้าภายในวิหารโบราณ...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้